Individual Investors

  • Posted by:

    ThaiBMA
  • Posted on:

    June 16, 2017
จะซื้อหุ้นกู้ ต้องดู Credit Spread ( ตอนที่ 1)

จากบทความ Bond &Ben the series#10 ตอน “Yield Curve ตัวช่วยการลงทุนในตราสารหนี้” ได้อธิบายถึง Yield Curve หรือชื่อเต็มคือ Government Bond Yield Curve ที่ใช้ในการหาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลซึ่งถือว่าเป็นอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่ปราศจากความเสี่ยง (Risk-free rate)เนื่องจากพันธบัตรรัฐบาลจัดเป็นตราสารทางการเงินที่ไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิต (Risk-free asset)

Yield Curve นั้นจะแสดงถึงอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล (YTM: Yield to Maturity)ที่อายุคงเหลือต่าง ๆ (TTM: Time to Maturity) ยกตัวอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุคงเหลือ3 ปี (TTM 3 ปี) Yield เท่ากับ 1.90% หมายความว่า หากลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่อายุคงเหลือ3 ปี นักลงทุนจะได้รับอัตราผลตอบแทนเท่ากับ 1.90%เมื่อถือจนครบ3 ปี หรือในอีกความหมายคือ การลงทุนที่ปราศจากความเสี่ยงในระยะเวลา 3 ปีให้ให้ผลตอบแทนการลงทุนเท่ากับ 1.90%

ดังนั้นหากนักลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่มีระยะเวลาการลงทุน 3 ปีเหมือนกันอย่างเช่นหุ้นกู้ก็ควรได้รับอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า1.90% เนื่องจากบริษัทเอกชนมีความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงกว่ารัฐบาล ทั้งนี้อันดับเครดิตของบริษัทที่ออกหุ้นกู้ (Issuer Credit Rating)หรืออันดับเครดิตของหุ้นกู้ (Issue Credit Rating)เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการพิจารณาเลือกซื้อหุ้นกู้ โดยระดับที่ถือว่าเป็น Investment gradeคือตั้งแต่ BBB- ขึ้นไปจนถึงระดับสูงสุดที่AAA คำถามที่มักตามมาคือ “แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าแต่ละอันดับเครดิตนั้นมีความเสี่ยงแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด และสามารถวัดเป็นตัวเลขได้หรือไม่” คำตอบคือ ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเมื่ออันดับเครดิตต่ำลงจะสะท้อนเป็นตัวเลขได้จาก Credit Spread

Credit Spread คือ ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นจากพันธบัตรรัฐบาล โดยยิ่งอันดับเครดิตต่ำลง ส่วนต่างผลตอบแทนก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น เนื่องจากเมื่อสิ่งที่ลงทุนมีความเสี่ยงสูงขึ้น นักลงทุนย่อมต้องการส่วนชดเชยความเสี่ยงเพิ่มขึ้น (Risk premium)จึงทำให้ผลตอบแทนของหุ้นกู้นั้นสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลเสมอ โดยแต่ละอันดับเครดิตจะมีค่า Credit Spread ที่แตกต่างกันออกไป

จากภาพ แกนนอนแสดงถึงอายุคงเหลือของพันธบัตรรัฐบาล (TTM) ซึ่งมีตั้งแต่ 1 เดือนจนถึง 10 ปี ขณะที่แกนตั้งแสดงถึงอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล (Yield) ของแต่ละช่วงอายุคงเหลือ สมมติว่าเราสนใจหุ้นกู้อายุ 5 ปี จะเห็นว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่อายุคงเหลือ 5 ปีเท่ากับ 2.15% สำหรับหุ้นกู้อันดับเครดิต AAA ที่อายุ 5 ปี มีอัตราผลตอบแทน 2.76% ส่วนต่างระหว่าง 2.76% และ 2.15% คือค่า Credit Spread ซึ่งเท่ากับ 0.61% หรือ 61 bps (หน่วยของค่า Spread) ขณะที่หุ้นกู้อันดับเครดิตที่ต่ำกว่า AAA ก็จะมีค่า Spread ที่สูงถัดขึ้นไปซึ่งแสดงให้เห็นว่าอันดับเครดิตของบริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้นมีผลต่อ Credit Spread อย่างยิ่ง ยิ่งอันดับเครดิตต่ำยิ่งมีค่า Credit Spread สูง เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านเครดิตมากกว่าจึงต้องชดเชยด้วยการให้อัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น อย่างเช่นที่อันดับเครดิต BBB อายุ 5 ปี จะมีค่า Spread สูงถึง 2.37% หรือ 237 bps(4.52% - 2.15%)อีกทั้งหากยิ่งอายุของหุ้นกู้ยาวก็จะยิ่งมีค่า Credit Spread สูงขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากต้องชดเชยความเสี่ยงทั้งจากอันดับเครดิตและความไม่แน่นอนของผลการดำเนินงานในอนาคตของบริษัทที่ออกหุ้นกู้

แล้วCredit Spread นี้จะใช้ประกอบการพิจารณาเลือกซื้อหุ้นกู้อย่างไร ติดตามได้ในตอนหน้าครับ

All Blogs