• Posted by:

    ThaiBMA
  • Posted on:

    JAN. 16, 2025
ค่าใช้จ่ายในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในประเทศไทย

ในการออกหุ้นกู้ของภาคธุรกิจมีต้นทุนค่าใช้จ่ายหลัก คือ ดอกเบี้ยจ่ายของหุ้นกู้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับเครดิตความน่าเชื่อถือของผู้ออก และภาวะอัตราดอกเบี้ยในตลาดขณะนั้น และยังมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ ซึ่งประกอบด้วย ค่าธรรมเนียมจัดจำหน่าย (Underwriting fee) ค่าธรรมเนียมนายทะเบียน และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เป็นต้น

ในบทความนี้จะเป็นการศึกษาค่าใช้จ่ายเริ่มแรกที่เกี่ยวข้องกับการออกหุ้นกู้ ซึ่งไม่รวมดอกเบี้ยจ่าย ในหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือแตกต่างกันว่าอยู่ในระดับใด มีแนวโน้มเป็นอย่างไร สภาวะตลาดที่ผันผวนและปัญหาการชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบถึงค่าใช้จ่ายดังกล่าวหรือไม่อย่างไร

ค่าใช้จ่ายเริ่มแรกในการออกและเสนอขายหุ้นกู้

จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนการเสนอขายหุ้นกู้ สามารถจำแนกค่าใช้จ่ายเริ่มแรกในกระบวนการออกและเสนอขายหุ้นกู้ได้เป็น 2 กลุ่ม ไม่รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นภายหลังการเสนอขาย ดังนี้

1. ค่าใช้จ่ายผันแปร: เป็นส่วนของค่าใช้จ่ายที่ผันแปรตามระดับความซับซ้อนของการออกหุ้นกู้ และสภาวะตลาดในช่วงเวลาที่ออกหุ้นกู้ ประกอบด้วย

• ค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่าย (Underwriting fee) เป็นค่าธรรมเนียมที่ผู้ออกหุ้นกู้ต้องจ่ายให้แก่ผู้จัดการการจัดจำหน่าย (Underwriter) ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการขายที่อาจแตกต่างกันตามความซับซ้อนของตราสารหนี้ กลุ่มผู้ลงทุน อายุการออก ขนาดการเสนอขาย รวมถึงสภาวะตลาดในช่วงที่ออกและเสนอขาย

• ค่าใช้จ่ายอื่น (Other expenses) ที่รวมถึงค่านายทะเบียน, ค่าผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้, ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ และค่าจัดเตรียมเอกสารต่างๆ เป็นต้น ทั้งนี้ ข้อมูลในหนังสือชี้ชวนไม่ได้แยกแต่ละองค์ประกอบอย่างชัดเจน ในการวิเคราะห์จึงนำเสนอเป็นภาพรวมของค่าใช้จ่ายอื่นๆ

2. ค่าใช้จ่ายคงที่ ซึ่งจะไม่ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด ได้แก่ ค่าธรรมเนียมขึ้นทะเบียนตราสารหนี้ ซึ่งมีอัตราไม่เกิน 0.02% ของมูลค่าการออกหุ้นกู้ และค่าธรรมเนียมยื่น Filing กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีอัตราค่าธรรมเนียมระหว่าง 50,000–1,000,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับประเภทการเสนอขาย

เนื่องจากค่าใช้จ่ายคงที่ในข้อ 2 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงที่ผ่านมา บทความนี้จึงจะพิจารณาเฉพาะค่าใช้จ่ายผันแปรในข้อ 1 ว่าอยู่ในระดับใดสำหรับหุ้นกู้แต่ละกลุ่มเรทติ้ง และมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในช่วงที่ผ่านมาอย่างไร โดยได้จัดเก็บและรวบรวมข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนของหุ้นกู้ระยะยาวที่เสนอขายระหว่างปี ค.ศ. 2019 ถึงมิถุนายน 2024

ค่าจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมายังคงทรงตัวแม้มีข่าวการผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้เพิ่มขึ้น

นอกเหนือจากต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย ค่าจัดจำหน่ายหุ้นกู้ถือเป็นส่วนประกอบหลักของค่าใช้จ่ายเริ่มแรกในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ในช่วงประมาณ 5 ปีครึ่งที่ผ่านมา คือตั้งแต่ปี 2019 ถึงครึ่งแรกปี 2024 (ตารางที่ 1) พบว่าค่าจัดจำหน่ายหุ้นกู้มีค่าเฉลี่ยที่ค่อนข้างทรงตัว แม้พบว่ามีความแตกต่างในบางปีแต่ไม่ได้มีนัยสำคัญนัก โดยหุ้นกู้กลุ่มที่มีอันดับเครดิตสูงจะมีค่าจัดจำหน่ายต่ำกว่ากลุ่มที่มีอันดับเครดิตต่ำ และมีความแตกต่างชัดเจนระหว่างหุ้นกู้กลุ่ม A ขึ้นไป กับ กลุ่ม BBB และระหว่างกลุ่ม BBB กับ กลุ่ม Non-rated ดังนี้

• หุ้นกู้กลุ่ม AAA มีค่าจัดจัดจำหน่ายในระดับต่ำที่สุด เฉลี่ยประมาณ 0.09% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยพบว่ามีอัตราเฉลี่ยต่ำสุดในปี 2023 ที่ 0.06%

• หุ้นกู้กลุ่ม AA, และ A มีค่าจัดการจัดจำหน่ายใกล้เคียงกัน เฉลี่ยในระดับ 0.08%- 0.11%

• หุ้นกู้กลุ่ม BBB มีค่าจัดจัดจำหน่ายเฉลี่ย 0.61% ของมูลค่าการเสนอขาย โดยมีค่าเฉลี่ยต่ำลงเล็กน้อยในปี 2023 และ 2024 (0.58% เทียบกับ 0.64% ในปีก่อนหน้า) หุ้นกู้กลุ่มที่ไม่จัดอันดับเครดิต (Non-rated) มีค่าจัดจัดจำหน่ายสูงที่สุด เฉลี่ย 1.09% ของมูลค่าการเสนอขาย

แม้ว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทผู้ออกหุ้นกู้บางรายโดยเฉพาะในกลุ่ม Non-rated ที่เริ่มมีปัญหาในการชำระหนี้ บางรายมีการยืดอายุหนี้ หรือ ผิดนัดชำระ แต่พบว่าค่าจัดจัดจำหน่ายในปี 2023 -2024 ในเกือบทุกกลุ่มไม่ได้แตกต่างออกไปอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากการที่มี Underwriter รายใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เข้ามาทำธุรกิจในตลาดหุ้นกู้เพิ่มมากขึ้น การแข่งขันที่สูงขึ้นน่าจะทำให้การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมไม่สามารถทำได้ง่ายนัก

ค่าใช้จ่ายอื่น (นอกเหนือจาก Underwriting fee) ของหุ้นกู้กลุ่ม Non-rated สูงขึ้นใน 2 ปีหลัง

ค่าใช้จ่ายอื่น ได้แก่ ค่าบริการนายทะเบียน ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ และค่าจัดเตรียมเอกสารต่างๆ ทั้งนี้ ข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนไม่ได้แยกแต่ละองค์ประกอบของค่าใช้จ่ายอื่นอย่างชัดเจน ในการวิเคราะห์จึงนำเสนอเป็นภาพรวม ซึ่งพบว่า ค่าใช้จ่ายอื่นมีค่าเฉลี่ยที่แตกต่างกันตามอันดับเครดิตเช่นเดียวกับค่าจัดจำหน่าย โดยหุ้นกู้กลุ่มที่มีอันดับเครดิตสูงจะมีค่าใช้จ่ายอื่นต่ำกว่ากลุ่มที่มีอันดับเครดิตต่ำ กล่าวคือ หุ้นกู้กลุ่ม AAA, AA, และ A มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ต่ำที่สุด เฉลี่ยที่ 0.06%-0.07% กลุ่ม BBB มีค่าใช้จ่ายอื่นเฉลี่ย 0.20% และกลุ่มที่ไม่จัดอันดับเครดิต (Non-rated) มีค่าใช้จ่ายอื่นสูงที่สุด เฉลี่ยที่ 0.51% ของมูลค่าการเสนอขาย

ทั้งนี้ พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หุ้นกู้กลุ่มอันดับเครดิต BBB ขึ้นไป มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ค่อนข้างทรงตัว ในขณะที่ค่าใช้จ่ายอื่นของหุ้นกู้กลุ่ม Non-rated มีแนวโน้ม สูงขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (จาก 0.44% ในปี 2021 เป็น 0.64% ในปี 2024) ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้และนายทะเบียน เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากภาระหน้าที่ดำเนินการในกรณีที่ต้องมีการจัดประชุมหรือดูแลสิทธิประโยชน์ผู้ลงทุนนั่นเอง

โดยสรุป ค่าใช้จ่ายเริ่มแรกในการออกและเสนอขายหุ้นกู้มีความแตกต่างกันตามกลุ่มอันดับเครดิต โดยกลุ่มที่มีอันดับเครดิตสูงจะมีค่าใช้จ่ายเริ่มแรกต่ำกว่ากลุ่มที่มีอันดับเครดิตต่ำ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ค่าจัดจัดจำหน่าย (Underwriting fee) ค่อนข้างทรงตัว แม้ในช่วงเวลาที่การเสนอขายหุ้นกู้ทำได้ยากขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของผู้ออกหุ้นกู้ที่มีปัญหา ซึ่ง Underwriting fee ที่ไม่ได้ปรับสูงขึ้นได้นี้น่าจะมาจากภาวะการแข่งขันสูงในตลาด

สำหรับหุ้นกู้กลุ่ม Non-rated มีค่าใช้จ่ายเริ่มแรกในส่วนของค่าใช้จ่ายอื่นสูงขึ้นในปี 2023-Q2 2024 สอดคล้องกับปัญหาการชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นในหุ้นกู้กลุ่มนี้ที่อาจส่งผลให้ผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้และนายทะเบียนเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

All Blogs