Individual Investors

  • Posted by:

    ThaiBMA
  • Posted on:

    July 07, 2017
5 เหตุผลหลักของการลงทุนในตราสารหนี้

ตราสารหนี้เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการระดมทุนที่นักลงทุนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ และผู้ออกมีฐานะเป็นลูกหนี้โดยมีภาระการจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดชำระ หากบริษัทไม่มีกำไร ก็ยังต้องจ่ายดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอ และนี่ก็คือข้อดีของการลงทุนในตราสารหนี้ซึ่งแตกต่างจากหุ้นที่ไม่ได้กำหนดอัตราการจ่ายเงินปันผลที่แน่นอน บริษัทจะจ่ายเงินปันผลก็ต่อเมื่อมีกำไร หากกำไรมากก็จ่ายปันผลมากการลงทุนในตราสารหนี้จึงมีข้อดีอย่างน้อย 5 ข้อดังนี้

1. การลงทุนเพื่อรักษาเงินต้น: สำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงเลย จะทำอย่างไรให้เงินต้นปลอดภัย และได้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงิน การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือ ตั๋วเงินคลัง เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์นี้ เพราะไม่มีความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้แต่การลงทุนโดยตรงในตั๋วเงินคลังและพันธบัตรรัฐบาลอาจจะทำได้ยากสำหรับนักลงทุนรายย่อย ดังนั้นก็สามารถลงทุนได้ทางอ้อมผ่านกองทุนรวม เช่น “กองทุนรวมตลาดเงิน”ซึ่งมีให้เลือกทั้งที่มีนโยบายลงทุนเฉพาะในตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลเท่านั้น หรือที่มีนโยบายลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นกองทุนที่มีระดับความเสี่ยงต่ำ เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะสั้นที่ไม่ต้องการความผันผวนของเงินลงทุน

2. การลงทุนเพื่อออมเงิน: นักลงทุนที่มีจุดประสงค์ในการออมเงินในระยะยาวสามารถออมเงินแบบสม่ำเสมอผ่านการซื้อ “กองทุนรวมตราสารหนี้”เป็นประจำทุกเดือนได้โดยเลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่างๆ ได้ตามความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเอง หรืออาจลงทุนโดยตรงในพันธบัตรออมทรัพย์ ที่มีระยะเวลาการลงทุนอยู่ในช่วง 5-10 ปี ซึ่งรัฐบาลจะมีการออกจำหน่ายเป็นครั้งคราว โดยทั่วไปจะให้ดอกเบี้ยสูงกว่าการฝากธนาคาร จ่ายดอกเบี้ยสม่ำเสมอ และไม่มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้

3. การลงทุนเพื่อปกป้องอำนาจซื้อจากเงินเฟ้อ: นักลงทุนสามารถใช้ตราสารหนี้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อที่ทำให้อำนาจซื้อที่แท้จริงของเราลดลงได้ โดยอาจจะเลือกลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนใน “พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ”ซึ่งเป็นพันธบัตรที่จ่ายผลตอบแทนโดยอ้างอิงจากอัตราเงินเฟ้อ เมื่ออัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ทำให้ผลตอบแทนของพันธบัตรสูงขึ้นตาม และอยู่ในระดับที่เพียงพอที่จะรักษาอำนาจซื้อไว้ได้ ในปัจจุบันมีกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อโดยเฉพาะคือกองทุน KTILB ของ บลจ.กรุงไทย (อ่านบทความเพิ่มเติม “พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (ILB) ตอนนี้น่าลงทุนไหม?” ได้ที่: http://www.thaibma.or.th/EN/Investors/Individual/Blog/ILB2.aspx )

4. การลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง: นักลงทุนควรมีการจัดสรรการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน และไม่ควรทุ่มเงินลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเท่านั้น หรือในสุภาษิตภาษาอังกฤษที่ว่า “Don’t put all your eggs in one basket”หรือ อย่าใส่ไข่ไว้ในตระกร้าเพียงใบเดียว เพราะหากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ราคาสินทรัพย์นั้นลดลง ก็อาจจะทำให้ขาดทุนทั้งหมดได้ ดังนั้นจึงควรมีกระจายการลงทุนไปที่สินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันน้อยกล่าวคือ ราคาของสินทรัพย์หนึ่งมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้ามกับสินทรัพย์อีกชนิดหนึ่งเช่น ราคาหุ้นลดลงแต่ราคาตราสารหนี้เพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนยังได้รับผลตอบแทนหรืออย่างน้อยก็ไม่ขาดทุนทั้งหมด

5. การลงทุนเพื่อได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและสามารถคาดการณ์รายรับในอนาคตได้: โดยทั่วไปแล้วอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว(Coupon rate) ของตราสารหนี้จะเป็นแบบคงที่ และจ่ายสม่ำเสมอทุกๆ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี เช่น ลงทุนในตราสารหนี้ 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ระยะเวลา 5 ปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน ดังนั้นนักลงทุนก็จะทราบว่า ตลอดระยะเวลาในการลงทุน จะได้รับดอกเบี้ยจำนวน 10 ครั้ง ครั้งละ 2,000บาทและในงวดสุดท้ายก็จะได้ดอกเบี้ยและเงินต้นคืน เป็นต้น ซึ่งนักลงทุนสามารถคาดการณ์รายรับที่สม่ำเสมอและแน่นอนได้ เพื่อใช้วางแผนการใช้จ่ายในอนาคตได้

การลงทุนในตราสารหนี้มีข้อดีหลายประการ นักลงทุนควรเลือกรูปแบบของตราสารหนี้ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนเพื่อได้รับประโยชน์ตามที่ต้องการ แล้วเหตุผลหลักของการลงทุนในตราสารหนี้ของท่าน คืออะไร?

All Blogs