• Posted by:

    ThaiBMA
  • Posted on:

    Jul. 6, 2021
Big Tech พาเหรดออก ESG bond

กระแสการลงทุนและระดมทุนในตลาด ESG bond ยังมีแนวโน้มที่สดใสแม้ในช่วง Covid-19 โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกต่างพาเหรดกันออก ESG bond หรือ ตราสารหนี้ที่ระดมทุนไปใช้ในโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สังคม และส่งเสริมความยั่งยืน

เริ่มจาก Google ที่ได้ออก Sustainability bond หรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน ในเดือนสิงหาคม 2020 มูลค่าสูงถึง 5.75 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.78 แสนล้านบาท) ซึ่งนอกจากจะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปใช้ในโครงการสีเขียว (Green) คือ โครงการประหยัดพลังงานสำหรับ Data center ของ Google ทีมีอยู่ทั่วโลก การจัดซื้อพลังงานสะอาดสำหรับใช้ในสำนักงานของบริษัท ยังนำไปใช้ในโครงการด้านสังคม (Social) ด้วย ได้แก่ การสนับสนุนที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย การสนับสนุนธุรกิจของชาวผิวสี (Black business) และสนับสนุนธุรกิจขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 ทั้งนี้ ปัจจุบัน Google ถือเป็นผู้ซื้อพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ที่สุดในโลก

ถัดมาคือ Apple ที่ออกหุ้นกู้สีเขียว (Green bond) มูลค่า 4.7 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ประมาณ 1.4 แสนล้านบาท) ในปี 2020 เพื่อระดมทุนไปใช้ในโครงการพลังงานทางเลือก ทั้งนี้ Apple เริ่มออก Green bond ตั้งแต่ปี 2016 โดยนำเงินไปสนับสนุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในหลายรัฐ เช่น เนวาดา เวอร์จิเนีย โครงการพลังงานลมในอิลลินอยส์และเดนมาร์ก โดย Apple ตั้งเป้าหมายว่าอุปกรณ์ทุกชนิดของ Apple จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2030 (Net zero climate impact)

และล่าสุดคือ Amazon ที่เพิ่งออก Sustainability bond เป็นครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2021 มูลค่า 1 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท) เพื่อนำเงินไปใช้ทั้งในโครงการพลังงานสะอาด การจัดซื้อรถไฟฟ้าในการขนส่ง และโครงการด้านสังคม เช่น การฝึกอบรมทักษะให้ผู้ด้อยโอกาส โดย Amazon กำหนดเป้าหมายว่าการดำเนินงานของบริษัทจะใช้พลังงานหมุนเวียน 100 % ภายในปี 2030 และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิของบริษัทจะเป็นศูนย์ภายในปี 2040

การที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เหล่านี้ยังคงระดมทุนโดยการออก ESG bond ทั้งๆที่แต่ละบริษัทมีเงินสดมหาศาลจากธุรกิจที่เติบโตต่อเนื่องในยุค New normal ก็เนื่องมาจากต้องการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ประกอบกับเป็นจังหวะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ จึงถือว่าได้ประโยชน์สองต่อเลยทีเดียว

All Blogs