เริ่มต้นลงทุนตราสารหนี้ • ขั้นตอนการซื้อขาย พันธบัตร / หุ้นกู้ • ลักษณะของตลาดตราสารหนี้ ตลาดรองตราสารหนี้ไทย การซื้อขายเปลี่ยนมือตราสารหนี้ของไทยจะทำผ่านสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาติจาก กลต. ซึ่งได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ โดยไม่มีตลาดกลาง ต่างจากการซื้อขายหุ้นสามัญที่มักเกิดขึ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ ที่เป็นสถานที่กลางให้นักลงทุนได้ทำการซื้อขายเปลี่ยนมือกันโดยกำหนดเวลาเปิดปิดตลาดไว้ การซื้อขายตราสารหนี้ของไทยนอกจากจะทำผ่านสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่ได้รับอนุญาติแล้ว (Over the counter) นักลงทุนยังสามารถทำการต่อรองราคาและตกลงเงื่อนไขต่าง ๆ ระหว่างกันได้โดยจะทำการตกลงกันด้วยอัตราผลตอบแทนเมื่อถือจนครบกำหนดอายุ (Yield to Maturity: YTM)เช่น LB233AมีYTM2.323%และ LB236A มี YTM 2.365% เป็นต้น ในปัจจุบัน มี Dealerที่ได้รับอนุญาติจากสำนักงาน กลต.เกือบ 60 รายนักลงทุนสามารถสอบถามราคาเสนอซื้อ เสนอขายจากdealer ที่ท่านใช้บริการได้ โดยYield เสนอซื้อ/เสนอขายจะต่างกันเล็กน้อยเรียกว่า Spread ซึ่งอยู่ในหน่วยbp (Basis Point, 1bp= 0.01%) ทั้งนี้spread จะขึ้นกับปริมาณการซื้อขายด้วย หากซื้อขายในปริมาณที่มาก spread จะลดลง นอกจากนั้น spread จะเป็นตัวสะท้อนสภาพคล่องของตราสารหนี้ตัวนั้นๆอีกด้วยหาก spread ต่ำแสดงว่าสภาพคล่องสูง ซื้อขายง่าย หากspread สูงแสดงว่าสภาพคล่องต่ำการซื้อขายจะทำได้ยาก สำหรับการซื้อขายตราสารหนี้ของรัฐบาล ก่อนตัดสินใจซื้อขาย นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบผลตอบแทนได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลวันทำการก่อนหน้าโดยอ้างอิงอายุคงเหลือของตราสารที่ต้องการซื้อขายก่อนได้ ในกรณีของตราสารหนี้เอกชน สามารถใช้ Credit spread มาบวกเพิ่มจากYield พันธบัตรรัฐบาลเพื่อใช้ในการอ้างอิงได้แต่ทั้งนี้เนื่องจากตราสารหนี้เอกชนมีสภาพคล่องต่ำกว่าตราสารหนี้ภาครัฐ ราคาที่ซื้อขายอาจแตกต่างจากราคาอ้างอิงได้มาก หลังจากการซื้อขาย Dealer ทุกรายจะรายงานข้อมูลซื้อขายมายังสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยเพื่อรวบรวมและกำกับดูแลการซื้อขาย โดยทางสมาคมจะทำการเผยแพร่ข้อมูลที่สำคัญเช่น ปริมาณการซื้อขาย อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ ปริมาณเงินเข้าออกต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ เป็นต้น ทั้งนี้ราคาและผลตอบแทนที่ทางสมาคมฯ ประกาศ บริษัทจัดการกองทุน และธนาคารจะนำไปใช้ในการกำหนดมูลค่ายุติธรรมในการลงบัญชีในแต่ละวัน • การลงทุนในตราสารหนี้ การลงทุนในตราสารหนี้นักลงทุนสามารถลงทุนได้ใน 3 ทางได้แก่ 1) ลงทุนในตลาดแรก (เป็นการซื้อตราสารหนี้ออกใหม่) 2) ลงทุนในตลาดรอง (ซื้อตราสารหนี้ต่อจากนักลงทุนอื่น) 3) ลงทุนทางอ้อม (ลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างๆ) 1. การลงทุนในตลาดแรก การลงทุนในตลาดแรกจะมีความแตกต่างกันระหว่างการลงทุนตราสารหนี้ภาครัฐและตราสารหนี้ภาคเอกชน ในเรื่องการจัดจำหน่ายและเงื่อนไขในการลงทุน ดังนี้ 1.1 ตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ภาครัฐจะมีการจำหน่าย 2 วิธีคือ ผ่านการประมูล และการจำหน่ายผ่านผู้จัดการจำหน่าย นักลงทุนทั่วไปไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าร่วมประมูลตราสารหนี้ภาครัฐบาล จะมีเฉพาะนักลงทุนสถาบันตามที่กำหนดเท่านั้นที่สามารถเข้าประมูลได้ ส่วนการจำหน่ายผ่านผู้จัดการจำหน่ายจะได้แก่ พันธบัตรออมทรัพย์ และพันธบัตรรัฐวิสหกิจบางแห่ง(รัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่จะใช้ระบบประมูล)ที่มีความสามารถในการระดมทุนเช่น ธนาคารเพื่อการนำเข้าส่งออกแห่งประเทศไทย บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นต้น พันธบัตรออมทรัพย์ปัจจุบันเป็นระบบไร้ใบหุ้นกู้ (Scripless) แต่จะมีสมุดพันธบัตรฯ (Bond Book)ในวันที่ซื้อหรืออาจได้รับภายหลังไม่เกิน 15 วันจากธนาคารตัวแทนจำหน่าย หากมีสมุดพันธบัตรฯอยู่แล้วสามารถปรับปรุงข้อมูลได้ใน 15 วัน หากนักลงทุนต้องการถอนพันธบัตรออกจากระบบScriplessก็สามารถทำได้โดยขอออกใบพันธบัตรแต่ทั้งนี้จะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ 1.2 ตราสารหนี้ภาคเอกชน ตราสารหนี้ภาคเอกชนสามารถเสนอขายได้ 2กรณี - การเสนอขายนักลงทุนทั่วไป(Public Offering) ซึ่งตราสารที่ขายในรูปแบบนี้ ก.ล.ต. กำหนดให้ผู้ออกต้องมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ และต้องขึ้นทะเบียนกับสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยรวมถึงกฏเกณฑ์อื่นๆเพื่อให้นักลงทุนมีข้อมูลเพียงพอในการประเมินความเสี่ยง - การเสนอขายในวงจำกัด (Private Placement) ในกรณีนี้จะแบ่งย่อยได้ 2 แบบ คือ การขายให้แก่นักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่(Institutional Investor or High Net Worth Investor)และ เสนอขายแก่นักลงทุนโดยเฉพาะเจาะจงไม่เกิน 10 ราย (PP10) การเสนอขายในวงจำกัดนี้ ไม่จำเป็นต้องจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้โดยนักลงทุนทั่วไปจะไม่สามารถลงทุนในตราสารหนี้ตัวนั้นๆได้ 2. การลงทุนในตลาดรอง การซื้อขายในตลาดรองของตราสารหนี้จะเป็นแบบ OTC (Over The Counter) ซึ่งไม่มีศูนย์กลางการซื้อขายและสามารถต่อรองราคาได้ นักลงทุนสามารถซื้อขายตราสารหนี้ที่ต้องการได้หลังจากที่ได้มีการเสนอขายในตลาดแรกแล้ว เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย โดยนักลงทุนอาจซื้อขายในราคาที่ต่างจากราคาหน้าตั๋ว ทั้งนี้เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดอาจเปลี่ยนแปลงไปจากวันที่ออกตราสาร รวมถึงตราสารหนี้บางตัวมีสภาพคล่องต่ำทำให้ราคารับซื้อกับราคาเสนอขายจะต่างกันมาก โดยทั่วไปแล้วตราสารหนี้ภาครัฐมักมีสภาพคล่องที่สูงกว่าตราสารหนี้ภาคเอกชน และตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ได้รับอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่า Investment grade หรือไม่มีการจัดRating จะมีสภาพคล่องต่ำ นักลงทุนจึงควรพิจารณาความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง หรือความเสี่ยงที่ไม่สามารถขายตราสารในเวลาที่ต้องการหรือขายได้ราคาที่ต่ำ ก่อนการลงทุนเสมอ 3. การลงทุนผ่านกองทุนรวม กองทุนรวมถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนรายย่อยเนื่องจากสามารถกระจายความเสี่ยงได้มากกว่าแม้ว่าจะลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มาก และสามารถเลือกเงื่อนไขในการขายคืนหรือจะถือจนครบกำหนดอายุได้ ทำให้สะดวกต่อการบริหารเงิน หากลงทุนในกองทุนเปิดจะได้รับความสะดวกในเรื่องสภาพคล่อง ในปัจจุบันมีกองทุนหลายประเภทที่ลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งความเสี่ยงของแต่ละกองจะขึ้นกับประเภทของตราสารที่ลงทุน ทั้งนี้นักลงทุนควรทำความเข้าใจความเสี่ยงด้านต่างๆและโอกาสขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้ก่อนเลือกลงทุน เช่นการลงทุนในกองทุนพันธบัตรรัฐบาลจะไม่ขาดทุนจากการผิดนัดชำระแน่นอน แต่อาจขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยได้ หรือการลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ไม่มีการจัดอันดับเครดิต จะได้รับผลตอบแทนสูงกว่าแต่ก็มีโอกาสที่จะขาดทุนจากการผิดนัดชำระสูงกว่ากองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนในระดับInvestment Grade เป็นต้น • ภาษีกับการลงทุนตราสารหนี้ ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการลงทุนในตราสารหนี้กับหุ้นสามัญสำหรับบุคคลธรรมดา คือ การเก็บภาษีจากกำไรส่วนต่างราคา ซึ่งจะถูกเก็บจากการลงทุนในตราสารหนี้ในขณะที่การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จะไม่เสียภาษีกำไรจากส่วนต่างราคา ดังนั้นก่อนลงทุนนักลงทุนควรศึกษารายละเอียดการคำนวนภาษีก่อนการลงทุน 1. อัตราภาษีของบุคคลธรรมดาจากการลงทุนในตราสารหนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549) 2. อัตราภาษีของนิติบุคคลจากการลงทุนในตราสารหนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549) หมายเหตุ กรณีนักลงทุนต่างประเทศ (ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) ที่ได้รับยกเว้นภาษีจากเงินได้ที่ได้รับจากพันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่ออกโดยรัฐบาล องค์การของรัฐบาล หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรมข้างต้นนั้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามนโยบายของภาครัฐและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษีได้ที่ www.rd.go.th